มูลนิธิซีพี – ซีพีเอฟ จับมือหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพ ขยายผล “โครงการซีพีเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” เข้าสู่ 1,018 โรงเรียนทั่วประเทศ สร้างรากฐานโภชนาการที่ยั่งยืน

วันที่ 18 ธันวาคม 2568 – มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท (ซีพี) เดินหน้าสานต่อเจตนารมณ์ในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล โดยผนึกกำลังกับจังหวัดบึงกาฬ จัด “พิธีมอบและเปิดโครงการซีพีเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” โดยได้รับเกียรติจาก นายสมหวัง อารีย์เอื้อ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ เป็นประธานในพิธี โดยมี นายฮิโรชิ คาคิอุจิ รองประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCC) ดร.วรรณที ศรีโนนยาง ผู้อำนวยการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ คุณกฤตยรัฐ ปารมี ผู้ช่วยเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ร่วมเป็นสักขีพยานและมอบโครงการฯ ให้แก่ 4 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนท่าไร่วิทยา อ.เซกา จ.บึงกาฬ, , โรงเรียนบ้านโนนสูงสุขสมบูรณ์ อ.เซกา จ.บึงกาฬ, โรงเรียนบ้านนางัวสายปัญญา อ.เซกา จ.บึงกาฬ และโรงเรียนวัดหนองเสือ (เรืองวิทยานุกูล) อ.เมือง จ.นครปฐม เพื่อขยายผลโครงการฯ ส่งมอบโภชนาการที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร งานจัดขึ้น ณ โรงเรียนท่าไร่วิทยา จังหวัดบึงกาฬ

โครงการซีพีเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน นับเป็นโครงการสำคัญที่มูลนิธิฯ ได้ริเริ่มดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ (นับตั้งแต่ปี 2532) ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โครงการนี้ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยขยายผลการดำเนินงานไปแล้วรวมกว่า 1,018 โรงเรียนทั่วประเทศ สร้างประโยชน์ด้านโภชนาการและการเรียนรู้ให้แก่เด็กนักเรียนมากกว่า 229,500 คน และชุมชนกว่า 2,700 ชุมชน โครงการนี้จึงมิใช่แค่การมอบแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงเพื่อแก้ไขปัญหาภาวะทุพโภชนาการเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น “ห้องเรียนอาชีพ” (Living Classroom) ที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจเกษตรอย่างครบวงจร ซึ่งจะกลายเป็นพื้นฐานความรู้และอาชีพติดตัวพวกเขาตลอดไป และยังขยายผลเป็น “คลังอาหารที่ยั่งยืน” ให้แก่ชุมชนโดยรอบโรงเรียนอีกด้วย

คุณกฤตยรัฐ ปารมี ผู้ช่วยเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท กล่าวว่า “การขยายผลมาสู่จังหวัดบึงกาฬในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของมูลนิธิฯ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามแนวทางที่ยั่งยืน ตามแนวทาง 17SDGs ขององค์การสหประชาชาติ โดยความสำเร็จของโครงการไม่ได้จำกัดอยู่แค่การมีไข่ไก่ให้นักเรียนบริโภคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเป็น แหล่งเรียนรู้และถ่ายทอดวิชาชีพ ด้านการปศุสัตว์ ที่ช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ทักษะชีวิตและการบริหารจัดการแบบครบวงจร ในรูปแบบ Action Base Learning นอกห้องเรียน นอกจากนี้ การดำเนินงานโครงการฯ ยังก่อให้เกิดรายได้หมุนเวียน เพื่อนำไปพัฒนาโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียนต่อไปในระยะยาว และมีเป้าหมายการเพิ่มจำนวนโรงเรียนในโครงการนี้ทุก ๆ ปี

สำหรับโรงเรียนทุกแห่งที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับมอบโรงเรือนไก่ไข่ที่ได้มาตรฐาน พร้อมองค์ความรู้ในการบริหารจัดการและเลี้ยงดูไก่ไข่ ซึ่งทำให้โรงเรียนสามารถผลิตไข่ไก่สดที่มีคุณภาพสูงเพื่อนำมาประกอบเป็นอาหารกลางวันให้นักเรียนได้รับประทานโปรตีนอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้นักเรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติ อาทิ ด้านการเลี้ยงสัตว์ การดูแล การบริหารจัดการ การจัดทำบัญชี ตลอดจน ถึงการขายและการตลาด สนับสนุนให้นำไข่ไก่ไปประกอบอาหาร แปรรูป เป็นอาหารที่มีความหลากหลาย เสริมสร้างโภชนาการ

ด้าน นายฮิโรชิ คาคิอุจิ รองประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCC) ได้กล่าวแสดงความยินดีสนับสนุนโครงการดังกล่าวฯ ผ่านความร่วมมือของกระทรวงศึกษาธิการ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และกลุ่มธุรกิจในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา นับจนถึงปัจจุบัน ต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 26 รวม 154 โรงเรียน ครอบคลุม 42 จังหวัด เป็นโครงการที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระประสงค์ที่จะขยายโครงการนี้ไปทั่วประเทศ เพราะเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาภาวะโภชนาการของเยาวชนในถิ่นธุรกันดาร และยังส่งเสริมความสามารถในการพึ่งพาตนเองของโรงเรียนและชุมชน

กิจกรรมภายในงานยังมีการเปิดให้เยี่ยมชม โรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ แห่งใหม่ของโรงเรียนท่าไร่วิทยา และกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะการทำอาหารและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอาหารร่วมกัน ด้วยเมนูไข่เจียวและไข่ม้วนญี่ปุ่น ที่มาจากผลผลิตของโรงเรียนเอง เพื่อนำไปเป็นอาหารกลางวันให้กับเพื่อนๆ สร้างความตื่นเต้นและส่งเสริมให้เด็กนักเรียนเกิดความภาคภูมิใจในผลผลิตของตนเอง นอกจากนี้ชุมชนยังมีการกิจกรรมบายศรีสู่ขวัญท้องถิ่น และโชว์โปงลางวัฒนธรรมอีสานจากน้องๆนักเรียน

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น